EP.7 ข้อระวัง !!! “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย” ที่มีการบันทึกในชั้นตำรวจ อาจถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ทำให้ผู้เสียหายไม่อาจเรียกร้องสิ่งอื่นใดได้อีก - singhalaw
- Home
- EP.7 ข้อระวัง !!! “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย” ที่มีการบันทึกในชั้นตำรวจ อาจถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ทำให้ผู้เสียหายไม่อาจเรียกร้องสิ่งอื่นใดได้อีก
EP.7 ข้อระวัง !!! “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย” ที่มีการบันทึกในชั้นตำรวจ อาจถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่ทำให้ผู้เสียหายไม่อาจเรียกร้องสิ่งอื่นใดได้อีก
สารบัญ (Contents)
1. “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย”
ในคดีจราจรรถชนโดยปกติทั่วไปเมื่อพนักงานสอบสวนลงเลขรับเป็นคดีจราจรและรวบรวมทำสำนวนการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับฝ่ายประมาทแล้ว จะมีการนัดให้คู่กรณีมาเจรจาตกลงค่าเสียหายกันและไม่ว่าผลการเจรจาระหว่างคู่กรณีจะตกลงกันได้หรือไม่อย่างไร พนักงานสอบสวนก็จะบันทึกลงไว้ใน “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย หรือ บันทึกตกลงยินยอมค่าเสียหาย หรือ บันทึกการตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทน” เพื่อเป็นหลักฐานและนำเข้าไว้ในสำนวนส่งแก่พนักงานอัยการต่อไปด้วย ทั้งนี้ การเจรจาค่าสินไหมดแทนในชั้นพนักงานสอบสวนก็ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของคู่กรณีว่าจะประสงค์เข้าเจรจาไกล่เกลี่ยค่าสินไหมทดแทนในชั้นพนักงานสอบสวนนี้หรือไม่
เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการเจรจาย่อมอาจทำให้ฝ่ายใดได้เทียบเสียเปรียบ ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ ประสบการณ์ และสภาพการณ์แวดล้อมต่างๆ รวมถึงข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนที่ใช้ในการเจรจาต่อรองด้วย ซึ่งหลายครั้งฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายซึ่งรู้ไม่เท่าทันคู่กรณีฝ่ายผิด ที่จะมีตัวแทนของบริษัทประกันเข้าร่วมช่วยในการเจรจาต่อรองด้วย ต้องตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ และถ้าหากข้อตกลงเจรจาไกล่เกลี่ยที่พนักงานสอบสวนได้มีการบันทึกไว้ใน “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย” เข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ฝ่ายผู้เสียหายก็จะไม่สามารถเรียกร้องสิ่งอื่นใดจากฝ่ายที่ต้องรับผิดนอกเหนือไปจากที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ
วันนี้ทีมทนายความจึงจะขอนำเสนอตัวอย่างข้อตกลงจากคดีตามคำพิพากษาของศาลฎีกา ทั้งในกรณีที่ถือว่าเป็นและยังไม่เป็นสัญญาประประนีประนอมยอมความ รวมถึงผลที่ตามมาในทางคดีของข้อตกลงดังกล่าว นำมาให้ผู้อ่านได้ศึกษาไว้เป็นแนวทางในเบื้องต้น
“ตัวอย่าง : บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย”
1.1 ตัวอย่าง : ข้อตกลงที่ถือว่าเป็นการตกลงประนีประนอมยอมความแล้ว
ตัวอย่างที่ 1.บันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความว่า “จำเลยที่ 1 ยอมรับผิดและยินยอมชดใช้ค่าเสียหาย โดยจะนำรถของโจทก์ไปซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพเดิมและใช้การได้ โดยจะนำไปซ่อมที่อู่ช่อเส็ง ถนนพัฒนาการ คู่กรณีตกลงและไม่ติดใจค่าเสียหายอื่นอีกแต่อย่างใด” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7026/2538)
เหตุผล ที่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
เพราะโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงระงับข้อพิพาท ที่โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์ จากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีอยู่ในขณะนั้น ให้เสร็จไปด้วยการผ่อนผันให้แก่กัน โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจะชดใช้ค่าเสียหายโดยวิธีการนำรถของโจทก์ไปจัดซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมแทนการชดใช้ค่าเสียหายเป็นตัวเงิน จึงเข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
ตัวอย่างที่ 2.บันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความว่า “…หลังเกิดเหตุ นางมินตราฯ ยินยอมรับผิดและยอมชดใช้ค่าเสียหายให้โดยจะทำการตกลงชดใช้ให้นายมะยมฯ เป็นเงิน 6,000 บาท โดยนัดจะชำระเงินในวันที่ 10 มิถุนายน 2536 (ค่าเสียหายประมาณ 10,550 บาท) ถ้าหากนางมินตราไม่ชำระภายในกำหนด นายมะยมจะได้ทำการฟ้องร้องทางแพ่งต่อไป…” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2540)
เหตุผล ที่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
เพราะโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงชำระค่าเสียหายกันเป็นจำนวนที่แน่นอนแล้ว อันเป็นการตกลงกันระงับข้อพิพาทอันเกี่ยวกับค่าเสียหายซึ่งเกิดจากมูลละเมิดขับรถชนกันให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเข้าลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
1.2 ตัวอย่าง : ข้อตกลงที่ไม่ถือว่าเป็นการตกลงประนีประนอมยอมความ
ตัวอย่างที่ 1.บันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความว่า “เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2539 ได้มีพันตรีประเสริฐ ฝั่งชลจิตร ผู้ขับขี่รถยนต์เก๋งหมายเลขทะเบียน ข – 0575 นครศรีธรรมราช นายยี่โถ ผู้ขับขี่รถยนต์กระบะคันหมายเลขทะเบียน ผ – 2819 สงขลา ได้มาพบพนักงานสอบสวนผู้แจ้งเพื่อเจรจาค่าเสียหาย ปรากฏว่าตกลงกันได้ คือ
1. พันตรีประเสริฐและนายคัดเค้าได้เรียกร้องให้นายยี่โถซ่อมรถที่ได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม (ปรากฏตามบันทึกตรวจสภาพรถของพนักงานสอบสวน)
2. นายยี่โถตกลงตามข้อเสนอของนายชมพูและนายคัดเค้าทุกประการโดยได้นำรถไปซ่อมตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2539 แล้ว” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2841/2548)
เหตุผล ที่ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
เป็นเพียงเอกสารที่พันตรีประเสริฐ (โจทก์ที่ 2) ตกลงให้นายยี่โถ (จำเลยที่ 1) นำรถยนต์คันที่เสียหายไปซ่อมให้อยู่ในสภาพตามเดิม โดยมีแต่รายการความเสียหายของรถตามบันทึกการตรวจสภาพรถของพนักงานสอบสวน โดยไม่ปรากฏข้อความให้เห็นด้วยว่า คู่กรณีตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือจะมีขึ้นโดยยอมสละข้อเรียกร้องอื่นทั้งสิ้น หรือข้อความว่าโจทก์ทั้งสองไม่ประสงค์จะฟ้องร้องจำเลยทั้งสองทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป
ตัวอย่างที่ 2.บันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความว่า “…มีข้อความสรุปได้ว่า ส่วนความเสียหายของรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน ฌป 7852 กรุงเทพมหานคร นั้น นายดาวเรืองผู้ครอบครองรถยนต์จะใช้สิทธิการซ่อมตามประกันภัยของตน ส่วนความเสียหายจากเหตุดังกล่าวได้เรียกร้องนายเทียนหยด เป็นเงินทั้งสิ้น 15,000 บาท ซึ่งนายเทียนหยดได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นายดาวเรืองแล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีกับฝ่ายนายเทียนหยดฯ”
เหตุผล ที่ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
โดยศาลให้เหตุผลไว้ว่า “จากข้อความดังกล่าวแสดงว่านายดาวเรือง ผู้ครอบครองรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ประสงค์ที่จะให้โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยเป็นผู้รับผิดชอบค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดีดังเดิมตามสัญญาประกันภัยที่เจ้าของรถยนต์ได้ทำไว้กับโจทก์ ส่วนความเสียหายจากเหตุดังกล่าวได้เรียกร้องจากนายเทียนหยดเป็นเงินทั้งสิ้น 15,000 บาท ซึ่งนายเทียนหยดได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่นายดาวเรืองแล้ว ไม่ติดใจดำเนินคดีกับฝ่ายนายเทียนหยด นั้น เป็นกรณีที่นายดาวเรืองเรียกร้องค่าเสียหายอื่น ๆ นอกเหนือจากค่าสินไหมทดแทนในการซ่อมรถยนต์ ที่นายดาวเรืองจะพึงได้รับจากการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1” กล่าวคือ จากข้อความดังกล่าวถือว่านายดาวเรืองและนายเทียนหยด ได้ตกลงระงับข้อพิพาทในส่วนอื่นๆ เช่น ความเสียหายต่อร่างกายโดยยอมผ่อนผันตกลงรับชดใช้เป็นเงิน จำนวน 15,000 บาท ซึ่งถือเป็นการตกลงประนีประนอมยอมความในค่าเสียหายส่วนดังกล่าวแล้ว แต่สำหรับการซ่อมรถ เมื่อนายดาวเรืองประสงค์จะให้บริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์ที่ตนทำไว้ทำการจัดซ่อม จึงยังถือไม่ได้ว่ามีการตกลงระงับข้อพิพาทในส่วนความเสียหายต่อทรัพย์สินด้วย ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นการตกลงระงับข้อพิพาทให้แล้วเสร็จไปเพียงบางส่วนของความเสียหายที่มีสิทธิเรียกร้องเท่านั้น
ตัวอย่างที่ 3.บันทึกรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีมีข้อความว่า “จำเลยที่ 2 ยินยอมชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้อง คู่กรณีตกลงไม่ติดใจเอาความในทางอาญาอีกต่อไป”(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2534)
เหตุผล ที่ไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลฎีกาแปลข้อความที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้ดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่โจทก์ในฐานะผู้เสียหายไม่ติดใจจะดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยที่ 2 เพื่อให้พนักงานสอบสวนจะได้เปรียบเทียบปรับจำเลยที่ 2 เท่านั้น ส่วนข้อความที่จำเลยที่ 2 ยอมรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถตามที่โจทก์เรียกร้องนั้น ไม่มีรายละเอียดหรือข้อตกลงที่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ต้องชำระ วิธีการชำระ อันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีก จึงมิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความ
2.เมื่อถือเป็น ส.ยอมฯแล้ว มีผลให้นายจ้างหลุดพ้นความรับผิดหรือไม่
เมื่อข้อตกลงระหว่างผู้ขับขี่ (ฝ่ายผิด) กับฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตาย ที่เจรจาไกล่เกลี่ยกันในชั้นพนักงานสอบสวนถูกบันทึกไว้ใน “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย” และแต่ละฝ่ายลงชื่อยอมรับข้อตกลงดังกล่าวไว้แล้ว เข้าข่ายเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว จะมีผลทำให้มูลหนี้ละเมิดระงับไป และทำให้ฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น กล่าวคือ มีสิทธิได้รับเงินเพียงตามจำนวนที่ตกลงไว้เท่านั้น โดยหากนายจ้างมิได้ร่วมตกลงและลงชื่อยอมรับผิดร่วมกับลูกจ้างไว้ในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวด้วยแล้ว ก็จะมีผลทำให้นายจ้างหลุดพ้นจากความรับผิดร่วมกับลูกจ้างต่อฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตาย ดังนั้น แม้ต่อมาฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายเห็นว่าจำนวนเงินที่ลูกจ้างหรือผู้ขับขี่ตกลงชดใช้มีจำนวนน้อยเกินไปก็ไม่อาจเรียกร้องสิ่งใดเพิ่มเติมจากนายจ้างของฝ่ายผู้ขับขี่ซึ่งเป็นฝ่ายผิดได้อีก (เทียบคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2540, 7026/2538)
คำเตือน !!! ดังนั้น ก่อนที่ท่านจะตกลงยอมรับค่าเสียหายที่มีการเสนอชดใช้จากฝ่ายผิดในชั้นตำรวจนี้ ท่านควรตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเสียก่อนว่า มีบุคคลใดจะต้องร่วมรับผิดในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อรักษาสิทธิในการได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลเหล่านั้นให้เหมาะสมกับความเสียหายที่ท่านได้รับ (ก่อนที่ท่านจะเสียใจในภายหลัง)
3.เมื่อถือเป็น ส.ยอมฯแล้ว มีผลให้บริษัทผู้รับประกันหลุดพ้นความรับผิดหรือไม่
สำหรับผลต่อผู้บริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์ของคู่กรณีฝ่ายผิด แม้ข้อตกลงระหว่างผู้ขับขี่ (ฝ่ายผิด) กับผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายที่ถูกบันไว้ใน “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย” จะเข้าข่ายเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้วก็ตาม ซึ่งจะถือว่ามีผลทำให้มูลหนี้ละเมิดระงับเท่านั้น แต่ไม่ทำให้มูลหนี้สัญญาประกันภัยที่บริษัทผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายระงับไปด้วย ดังนั้น บริษัทผู้รับประกันภัยค้ำจุน จึงไม่หลุดพ้นความรับผิด แต่ยังคงต้องรับผิดต่อฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือผู้ตายดังเดิม (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4888/2558)
4.บทสรุป
ในการเจรจาค่าสินไหมทดแทนในชั้นตำรวจหรือชั้นพนักงานสอบสวน ระหว่างผู้ขับขี่ (ฝ่ายผิด) กับผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตาย หากข้อความที่พนักงานสอบสวนบันทึกตามที่คู่กรณีตกลงไกล่เกลี่ยกันไว้ใน “บันทึกประจำวันเกี่ยวกับคดี” หรือ “บันทึกเจรจาค่าเสียหาย” และแต่ละฝ่ายลงชื่อรับรองไว้แล้ว เข้าข่ายเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จะมีผลทำให้ผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายมีสิทธิเรียกร้องตามจำนวนเงินที่ตกลงยอมรับชดใช้ในบันทึกดังกล่าวเท่านั้น และถ้านายจ้างไม่ได้ร่วมตกลงด้วย ย่อมทำให้นายจ้างหลุดพ้นความผิดไป แต่สำหรับบริษัทผู้รับประกันภัยรถยนต์ฝ่ายผิด (ไม่ว่า พรบ. ป1 ป2 ป3 ป2+ ป3+) ยังคงต้องผูกพันตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนรับผิดต่อผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายเช่นเดิม แต่ถ้าหากข้อความที่ตกลงไกล่เกลี่ยและที่พนักงานสอบสวนบันทึกไว้นั้น ไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ฝ่ายผู้บาดเจ็บหรือทายาทผู้ตายก็จะยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากฝ่ายผู้ต้องร่วมกันรับผิดทั้งหมดได้ตามจำนวนความเสียหายแท้จริง
5.ข้อสงเกตผู้เขียน (ลักษณะของ ส.ยอม)
5.1 สัญญาประนีประนอมยอมความ จะต้องเป็นการตกลงในรายละเอียดเรื่องเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะต้องชำระ วิธีการชำระ เป็นที่แน่นอนแล้ว อันจะทำให้ปราศจากการโต้แย้งกันอีกในภายหลัง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2540) แต่ถ้าไม่มีข้อตกลงดังกล่าวหรือเป็นข้อตกลงที่ไม่แน่นอนในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนเงินที่จะต้องชำระ วิธีการชำระ จะไม่ถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่อาจถือเป็นเพียงหนังสือรับสภาพต่อเจ้าหนี้เท่านั้น (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 127/2538)
5.2 ข้อโต้แย้งว่า “ข้อความตามสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีถือเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทในมูลละเมิดหรือไม่” เป็นปัญหาข้อกฎหมาย (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2569/2540)
5.3 สัญญาประนีประนอมยอมความจะต้องมีข้อความหรือปรากฏข้อความในทำนองว่า คู่กรณีตกลงระงับข้อพิพาทที่มีอยู่หรือจะมีขึ้นโดยยอมสละข้อเรียกร้องอื่นทั้งสิ้น หรือข้อความในทำนองว่าฝ่ายผู้มีสิทธิเรียกร้องไม่ประสงค์จะเรียกร้องหรือฟ้องร้องฝ่ายผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไป